ในคอกคิดอันคับแคบของข้าพเจ้า (Optimism is Ridiculous)

มนุย์เกิดมาเพื่อแสวงหาในสิ่งซึ่งกรอบเนชันแนลของเขาเรียกมันว่าอรรถประโยชน์

แสงไฟในตาฟาง

Posted by ปราชญ์ วิปลาส บน 2 เมษายน, 2007

 แสงไฟในตาฟาง
โดย…ปราชญ์ วิปลาส

มันคือแสงความสุขเจิดจ้าอันแสนริบหรี่…

สาดสลัวสะท้อนขึ้นในดวงตาที่ฝ้าฟาง ส่องแสงส้มบางแทรกขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของซอกเงาที่มืดมิดที่สุดในแดนเมือง เพียงมุมหนึ่งใต้ทางด่วน มุมมืดอันแสนรกร้าง ห่างไกลจากความสนใจของผู้คน และลึกเร้นจากความปลอดภัย อันเป็นสิ่งพึงมีเกิดได้ในทุกตารางนิ้ว

กลิ่นหอมของน้ำมันตะเกียง แสบอ่อน เอื่อยคล้อยลอยมา คู่เคียงข้างด้วยกลิ่นไหม้ของหัวไม้ขีดที่ก้านชื้นเพราะเคลือบฉาบคราบไอเหงื่อ พยายามอยู่หลายทีจนจุดติดจึงโยนทิ้งไป คมเล็บเย็นเยียบของความโดดเดี่ยวอันสุดแสนเหน็บหนาวของเมืองกรีดสะกิดกระดูกเบาๆให้ร้าวเจ็บ เสื้อแก่เก่าขาดไม่อาจปกป้องร่างเหี่ยว แกรีบแทรกซุกงอกาย ผลุบหายเข้าใต้ถุงกระสอบพลาสติก แง้มเพียงช่องบางอันกว้างพอให้สายตาและแสงส้มได้สัมผัสกัน

แสงสลัวสุดสว่างนี้เป็นความสุขหนึ่งของแก…

มันไม่เพียงสาดส่องขึ้นเบื้องหน้า หากแต่เสียดลึกลงไปในดวงใจที่ปวดร้าว ดวงใจอันร่วงร่อนกร่อนชรา เต้นระโรยริกละล่ำลักด้วยโหยถึงซึ่งความมืดมิดแห่งอดีตชวนคะนึง ไม่ใช่เพียงภาพดวงไฟในครอบแก้วที่พัดไหวตามแรงรุกลอดไล่ของสายลมเมือง หากแต่มันคือภาพจางรางเลือนของบ้านมืดในคืนหนาวแสนอบอุ่น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยกรำกรุ่นด้วยกลิ่นไอของความเป็นครอบครัว

บ้านช่องที่นี่ใหญ่โตโอฬาร สวยงามสว่างไสว มากมายรายเรียง แต่นอกจากใต้ทางด่วนมืดมิดนี้ ไม่มีพื้นที่แห่งความเอื้อเฟื้อใดมีความยินดีมากพอจะให้แกได้อาศัยสวมร่วมชายคา

เมืองหลวง เมืองอันถือสมัญญาว่ามหาแดนแห่งทวยเทพ มันช่างเป็นเมืองที่สว่างไสวเกินไปสำหรับดวงตาและดวงใจของคนที่มาจากพื้นที่ที่ไม่รู้จักการมีไฟฟ้าใช้อย่างแก อีกทั้งในบางห้วงลึกของมุมใจ แสงสว่างไสวนั้นกลับกรีดตาจนล้าใจราวแสงเพลิงไฟจากในนรก แต่แม้กระนั้น แข็งผิวคอนกรีตแห่งบาทวิถีหยาบกร้านและผืนถนนลาดยางอันแสนกระด้างร้อนในตอนกลางวัน ย้อนแย้งด้วยความเย็นเยียบเกินทนไหวในยามค่ำคืน แม้ร้อนเยียบย้อนแย้งถึงเพียงนั้น มันก็ยังชุ่มชื้นกว่าผืนดินกันดารสะท้านตีนที่บ้านเกิด ด้วยมันยังมีท่อนแท่นฝุ่นเขรอะของน้ำประปาดื่มได้ตั้งวางอยู่ข้างถนน มันอาจห่างไกลจากความสนใจของคนที่มีน้ำกรองดื่มใช้อยู่ในบ้าน หรือมีปัญญาหาซื้อน้ำขวดที่วางขายมาใช้ดื่ม แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกับน้ำตามท่อหรือน้ำซื้ออย่างแก สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยชโลมลำคอที่แห้งผาก แต่มันยังช่วยถมเต็มปิดเงียบซึ่งเสียงร้องของช่องท้องที่ว่างเปล่ามาได้ในหลายมื้อ

ในยามที่โหยหิวจนถึงที่สุด และเปล่าเปลี่ยวเงินตราจนถึงขีดสุด แม้แต่น้ำขังในช่องแตกของพื้นบาทวิถีแกก็ต้องวักกิน

ไอ…

ขลุกโขลกรุนแรง แหบแห้งแสบคอ ปลาบแปลบมือกุมอกเจ็บ ยากจะรู้ได้ว่าเป็นเพราะพิษยาเส้นที่ซื้อหาในแดนเมือง หรือเป็นเพราะลมเวลาที่พัดพาความชราสู่สังขาร มันกรีดริ้วรอยย่นจนยอบยับไปทั้งร่าง สิ่งที่คั่นกลางระหว่างมือของแกและหัวใจเจ็บเสียดคือแบงก์ยี่สิบสามสี่ใบ เบียดเสียดกันไปในสภาพยับย่น ปนสามสี่เศษเหรียญบาทเย็นเยียบ ในเมืองที่มีขยะทิ้งมากมาย แต่กลับหาขยะขายได้ยากเย็น กับทั้งยังหาได้น้อยลงทุกวัน ถังขยะใหญ่ที่เคยยืนกายรายเรียงอยู่ริมถนนหายไปตั้งแต่หลายปีก่อน เหลือเพียงถังเล็กถังน้อยลอยกายติดป้ายรถเมล์ คับแคบรูทิ้งเกินแกจะแคะคุ้ยควานมือเข้าสอดล้วง ปกปิดแน่นหนาเกินกว่ามือเปล่าเก่าชราของแกจะแกะเปิด เก็บได้ก็เพียงแต่ขวดเปล่าที่ตั้งไว้ที่ภายนอก เพียงส่วนเกินของปริมาณบรรจุ บางคนอาจะเรียกมันว่าความมักง่าย แต่อย่างไรก็กลายเป็นเงิน

วัฒนธรรมการแก่งแย่งแข่งขันตกหล่นมาสู่แก ทีแรกผ่านทางระบบระเบียบในการวางตั้ง อันเป็นไปเพื่อความงดงามน่ามองของท้องถนนและริมบาทวิถี บัดนี้ผ่านความหวาดกลัวต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เพื่อความปลอดภัยจากประสงค์ประทุษร้ายของมือระเบิด สำหรับอาชีพแก คุ้ยแล้วเจอระเบิดก็ตาย กลัวระเบิดจนไม่กล้าคุ้ยก็ต้องอดตาย หรือความจริงคือ ตอนนี้แกควรยินดีกับการหดหายไปของถังขยะ นั่นคือแกควรยินดีที่จะอดตาย เพื่อดำรงไว้ซึ่งความปลอดภัยของเมือง เพราะแกเองก็พอจะมีความคุ้นชินอยู่บ้าง กับแนวความคิดเรื่องการเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ บางครั้งแกอยากจะโวยวาย แต่ก็นึกได้ถึงความคำของเพื่อนร่วมอาชีพ ว่าเพียงเขาไม่เอาแกไปเก็บด้วยเพื่อคงไว้ซึ่งความน่ามองของแดนเมือง เพียงเท่านั้นแกก็น่าจะขอบใจแล้ว

เหล่านั้นล้วนทำให้ถังขยะตั้งพื้นแบบเก่ามีน้อยลง และอยู่กันอย่างเป็นที่ทางมากขึ้น ใครไปถึงถังก่อนก็มีสิทธิ์คุ้ยเขี่ยก่อน ของเหลือจากความต้องการของเมืองคือความต้องการอย่างยิ่งยวดของแกและเพื่อนร่วมอาชีพ แต่ของเหลือจากความต้องการของเพื่อนร่วมอาชีพ ไม่อาจเป็นความต้องการของแกได้ และเพื่อนร่วมอาชีพก็มิจำเป็นจะต้องใช่เพื่อนร่วมชีวิต

มีอยู่บ่อยครั้ง ที่แกต้องมองภาพเพื่อนร่วมอาชีพเดินจากไป และบนหลังแกร่งแห่งหนุ่มกว่านั้น แบกหอบกระสอบถุงที่บรรจุเต็มซึ่งขวดแก้ว กระป๋องเปล่า ขวดพลาสติก โดยที่แกได้แต่ยืนนิ่ง สัมผัสกับกระสอบเปล่าในมือเหี่ยว มันกระเพื่อมพลิ้วตามแรงลมจากรถซาเล้งที่วิ่งผ่าน ขับบิดโดยเพื่อนร่วมอาชีพที่ไม่รู้จักกัน แกยืนตีนเปล่า ร้าวร้อนเยียบชากับสัมผัสของใจเมืองที่แผ่ผ่านพื้นกระด้าง

เมื่อแรกที่แกหันมายึดอาชีพเก็บขยะขาย แกสัมผัสได้ถึงความแตกต่างบางประการ ระหว่างที่บ้าน และในเมืองใหญ่นี่ ภายใต้อาชีพสุจริตที่แกยึดเหมือนกัน ที่นี่มีที่ทางมากมายให้ทำกิน แตกต่างยิ่งนักกับบ้านเดิมที่ต้องหาเช่าที่ทางทำกินเอา จะเหลือใช้กินได้ก็หลังจ่ายค่าเช่าที่ ซึ่งบางทีก็ไม่มีหลงเหลือ ผิดกับที่นี่ แกเดินไปทำกินที่ไหนก็ได้ที่มีที่(ถังขยะ) และตราบเท่าที่มีแรงเดิน

เหมือนกันเพียงสิ่งเดียว…คือเงินที่หาได้ไม่ใคร่จะพอกิน
และแย่กว่าบ้างที่บางครั้งถูกไล่เยี่ยงหมูหมา…

นอกจากอาชีพคนเก็บขยะแล้ว แกไม่รู้หรอกว่า ตัวเองยังเป็นอะไรอีกหลายสิ่งในสังคมเมืองนี้ ไม่รู้หรอกว่าสังคมนี้นิยามความแกว่าอย่างไร แกคือตัวปัญหา น่าระคายเคืองตา แค่มองเห็นก็เหม็นในจมูก และยังเป็นแรงงานราคาถูกให้เถ้าแก่ที่รับซื้อขยะได้ใช้ด้วย หรือบางที แกก็เป็นเครื่องมือให้คนบางคนใช้ทำบุญ พวกเขาโยนเศษเงินให้เพราะเข้าใจว่าแกเป็นขอทาน

แต่แกก็ต้องเอา…

แกกำเศษเงินในกระเป๋าแน่น ความตายอาจจะเข้าคลานคืบใกล้มาเรื่อยๆ แต่จนบัดนี้แล้ว แม้เพียงบาทเดียวเขียวใดก็ยังไม่เคยได้ส่งกลับไปถึงพ่อแม่ หรือแม้ทุกวันนี้จะคิดทำบุญใส่บาตรไปให้ แต่ความโหยหิวแหบแห้งแห่งท้องกิ่วก็ทำให้แกไม่อาจหักใจทำอะไรแบบนั้นได้ ถ้าทำลงไป สิ่งนั้นจะเทียบได้กับบุญหรือบาป ทำในสิ่งที่เรียกว่าบุญด้วยการอุทิศกุศลสู่พ่อแม่ผู้ล่วงลับ หรือเป็นบาปด้วยได้ละทิ้งโอกาสในการมีชีวิตอยู่ และนำพาตัวเองให้เข้าสู่สภาวะอดตาย

แวบความคิดหนึ่งวาบวูบขึ้นมา สัมผัสมันได้แล้วก็ให้ต้องสมเพชตัวเอง สมเพชที่แม้ล่วงชรามาจนป่านนี้ยังมิวายได้คิดปล้นคิดฆ่า แกไม่ควรพ่ายแพ้ต่อแรงกดเหยียดของความยากลำบาก –แรงกดเหยียดของเมือง– แล้วพาตัวเองไปในทิศทางนั้น ลำพังเรี่ยวแรงจะยันเดินยังลำบาก แม้ทำจริงจนลุแล้วก็คงไม่เหลือเรี่ยวแรงให้แบกบาป ที่ปะปนต่อไปในทุกลมหายใจที่เหลือริน

แกมักสยบมันด้วยการคิดถึงพ่อ…

พ่อสอนแกอยู่เสมอในเรื่องของความพอเพียง พ่อสอนให้แกพอใจในสิ่งที่ตนมี กินใช้เท่าที่ตนหาได้หามี ทั้งที่จริงๆแล้วพ่อก็ยังไม่มีในสิ่งที่หลายคนมี และยังหาไม่ได้หาไม่มีในสิ่งที่หลายคนหาได้หามี ยิ่งยามนี้แกอยู่ในเมือง แกได้เห็นแล้วว่ายิ่งมีอีกหลากหลายสิ่งอย่างที่พ่อควรมี แต่พ่อก็ไม่ได้มี ไม่แม้แต่จะเคยได้มี หรือได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้นั้นมีอยู่

แกไม่รู้หรอกว่าคำสอนนั้นเป็นไปเพียงตามธรรมครรลอง หรือว่าแท้จริงแล้ว พ่อก็คิดอย่างนั้นจริงๆ และตอนนี้แล้วแกก็ยิ่งไม่แน่ใจใหญ่ ว่าถ้าหากพ่อได้เห็น ว่าสิ่งใดที่คนที่นี่เรียกว่ามี สิ่งใดที่คนที่นี่เรียกว่าหาได้หามี เช่นนั้นแล้วพ่อจะยังสอนให้แกพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่อีกหรือไม่

เทียบกับที่ “คน” ที่นี่มี…พวกแกเป็น “คน” ที่ไม่มีอะไรเลย

มันอยู่นอกเหนือขอบเขตความเข้าใจของแก เกินความสามารถไปไกล หากจะต้องทำความเข้าใจว่าเหตุใดหลายๆคนที่มีในระดับที่เรียกว่าถ้าแกมีในระดับนั้นบ้าง แกก็น่าจะได้ลองพอลองเพียงอย่างที่พ่ออยากให้แกเป็น แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่พอ พวกเขายังคงดิ้นรนที่จะมีมากขึ้นไปอีก พวกเขาน่าจะมีจนเหลือเพียงพอจะแบ่งปันให้แก –มีเหลือก็แบ่งก็ปัน– นั่นคือสิ่งที่พ่อสอน หรือพ่อไม่ได้สอนคนที่นี่ หรือพ่อของคนที่นี่ไม่ได้สอน หรือถ้าหากมีมากขึ้นแล้วจะสามารถพอได้มากขึ้น หรือยิ่งพอมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น และเพื่อให้พอได้มากจึงต้องมีให้มาก พวกเขาจึงพยายามกันอย่างยิ่งที่จะมีให้มาก เพื่อจะได้พอให้มากเช่นกัน

แกไม่เข้าใจ ด้วยเงินไม่ถึงร้อยที่แกมี เงินไม่ถึงร้อยที่ต้องกินใช้ไปอีกสองสามวัน แค่นั้นเรียกว่าแกมีหรือยัง แค่นั้นแล้วแกควรจะพอหรือยัง แกจะเอาสิ่งใดวัดความมี ในเมื่อสิ่งที่แกมีอยู่คือความไม่มี หรือความไม่มีก็คือความมีอย่างหนึ่ง มีความไม่มี เช่นนั้นแล้วแกควรจะพึงพอใจอยู่กับความไม่มีของแกอย่างนั้นหรือ อยู่กับความไม่มี พึงใจกับเสียงร้องของท้องกิ่วต่อไป เพื่อดำรงไว้ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ของคำความแห่งความคำเรื่องพอเพียงเยี่ยงพ่อสอนอย่างนั้นหรือ

พ่อสอนให้รู้จักแบ่งปัน …ความอยู่รอด… รู้จักแลกเปลี่ยนกันซึ่งสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างมี …ความอยู่รอด… แล้วกับที่แห่งนี้แกจะทำอย่างไร ในเมื่อพวกเขามีในสิ่งที่แกต้องการ …ความอยู่รอด… และแกอยากแลกเปลี่ยนด้วย …ความอยู่รอด… แต่แกกลับไม่มีในสิ่งที่พวกเขาต้องการ …เงิน… สิ่งที่พวกเขาต้องการแกก็ต้องการ …เงิน… แต่แกมีไม่มากพอเท่าที่พวกเขาต้องการ …เงิน… พวกเขาจึงไม่ต้องการจะแลกเปลี่ยนกับแก …ความอยู่รอด…

เมื่อแรกเข้ามา แกแปลกใจเป็นหนักหนา อาหารการกินของคนที่นี่ช่างมากมายหลายหลาก แต่ชีวิตกรรมกรที่โยกย้ายไปตามการผุดของไซท์งานไม่ได้สร้างทางเลือกมากมายให้แกนัก แม้อาหารอันหลากหลายนั้นจะมีอยู่ในทุกที่ที่แกไป แต่ชีวิตการกินของแกนั้นวนเวียนอยู่ได้แต่ในอาหารของไซท์งาน บ่อยครั้งที่ไซท์งานนั้นไปผุดที่กลางเมือง ทางเลือกการกินของแกยิ่งถูกบีบให้แคบลงไปอีก เพียงข้าวแกงข้างถนนของย่านนั้นก็ราคาสูงจนไม่อาจซื้อกินได้ ดีแต่เพื่อนคนงานด้วยกันนั้นต่างก็พลัดถิ่นย้ายฐานมาจากแถบภาคเดียวกัน ในไซท์งานจึงมีครกใบหนึ่งปลาร้าโหลหนึ่งกระติบใบหนึ่ง เหล่านั้นเองที่บันดาลอาหารถิ่นอันกลิ่นคุ้นและรสเคย ทั้งประหยัดเงินเพิ่มกำลังงานและได้คิดถึงที่บ้านไปในเวลาเดียวกัน

แกกินแต่อาหารซ้ำซากจนลืมไปแล้วว่าความอร่อยนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แกอาจปลอบใจตัวเองว่าแกเพียงกินเพื่ออยู่ แต่เห็นอาหารที่คนที่นี่เขากินกันแล้ว เป็นประจำที่แกก็อดใจคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะอร่อยเพียงใด ครั้นได้ลองกินบ้างก็เพียงเศษเหลือทิ้งแล้ว –คนที่นี่กินเหลือกันด้วย– เหลือแบบที่เรียกว่ากินทิ้งกินขว้าง เหลือจนแกสงสัยจนบางครั้งแกมด่าในใจว่าพ่อแม่คงไม่สั่งสอน แกไม่เคยกินเหลือ –ทั้งด้วยคำสอนของพ่อแม่และด้วยความจำเป็น– แต่วันหนึ่งแล้วการกินเหลือนั้นก็กลับเป็นการช่วยเหลือกันระหว่างชนชั้นอย่างที่ไม่มีใครตั้งใจ ในวันที่ไซท์งานล่มสลายและผู้รับเหมาหนีหายโดยไม่จ่ายค่าแรง พวกแกต่างต้องกระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆของเมือง ในยามที่ท้องหิวจนเกินจะทานทน แกก็ต้องทนทานอาหารเหลือพวกนั้นเพื่อทำให้ตัวรอดมาได้ในบางคราว บางครั้งมันก็มากมายจนทำให้แกอิ่มไปได้อีกหลายมื้อ แต่บ้างก็กลับบูดกลับเน่าจนเกินจะทนกิน ครั้นคิดจะซื้อแบบที่ไม่เรียกว่าเหลือมากินบ้าง แกก็ไม่มีเงินมากพอ พวกเขาจึงไม่ยินดีจะแลกเปลี่ยนกับแก

และมันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน บางครั้งแกเพียงต้องการไมตรี พวกเขาน่าจะมี เพราะคนไม่มีอย่างแกก็ยังมี แต่แกไม่เข้าใจว่าตัวเองขาดสิ่งพึงมีอันใดไป พวกเขาจึงไม่ยินดีจะแลกไมตรีกับแก แม้น้อยนิดเพียงสายตาอาทรก็ไม่มี ซ้ำพวกเขายังมอบให้แกซึ่งสายตารังเกียจ สายตาหวาดระแวง มองแกราวเป็นถุงขยะกลิ่นหืนเหินที่เดินได้ ซึ่งแกก็ยินดีจะแลกเปลี่ยนกับสายตานั้นด้วยการเดินเลี่ยงหลีกหนี รีบหนีก่อนที่พวกเขาจะทุบตีแกด้วยคำด่าไล่ และก่อนที่พวกเขาจะทุบตีแกด้วยมือไม้กันจริงๆ

หลายครั้งที่แกโกรธ…

บางทีนั่นอาจเป็นบ่อเกิดของความคิดแค้นที่เรียกว่าอิจฉา หรืออาจเลวร้ายถึงขั้นริษยา แกไม่ควรจะคิดถึงมัน ถ้าพอเพียงที่พ่อว่าหมายถึงใช้เท่าที่มี เท่าที่แกมีนี้ก็น่าจะเพียงพอ เพราะถึงอิ่มบ้างอดบ้าง แต่แกก็ยังไม่ตายมาตราบจนทุกวันนี้มิใช่หรือ

แล้ว…
ทำไม…พวกเขาไม่ลองมีและพอในระดับที่แกกำลังมีและพอบ้าง

พวกเขามีเยอะ เยอะจนแกอดสงสัยไม่ได้ว่าไปหาได้หามีมาจากที่ไหน แกจะได้ไปหาบ้าง มันแตกต่างกันมากมายจนบางครั้งแกอดสงสัยไม่ได้ ว่าในความเป็นคนเหมือนกันมันมีอะไรแตกต่างกัน แกจึงไม่มีจนทำให้บางทีรู้สึกว่าหรือตัวแกนี้ไม่ใช่คน สิ่งใดที่แตกต่างไป สิ่งใดที่มันไปไม่ถึงถิ่นเกิดของแก แกจึงไม่อาจได้มีอย่างที่คนที่นี่มี

แล้วมันก็กลับมาอีก ความคิดที่ว่าแกยังไม่มี ที่แกมีคือความไม่มี ถ้ายังไม่มีเพื่อได้พอ แล้วแกจะไปเอาความพอที่ไหนมาได้มี

แล้วถ้าแกสามารถพอเพียงกับความไม่มีนี้ แต่ความพอเพียงนั้นมันจะอยู่กับแกไปได้นานเพียงใด ในเมื่อแกเห็นตำตาอยู่ทุกวัน ว่ามันมีความมีอีกรูปแบบหนึ่ง มีความมีอีกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแกรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เคยได้มี และมันเย้ายวนชวนให้อยากมี

หรือนั่นจะเป็นบททดสอบหนึ่ง ว่าด้วยการต่อสู้กับกิเลสของตัวเอง ต่อสู้กับความเย้ายวนต่างๆ ซึ่งแกผู้คิดตั้งตนอยู่บนเส้นทางแห่งความพอดี จะต้องไม่หลงใหลจนหลุดไหลไปในความเย้ายวนนั้น

แต่แกก็แค่หิว…และอยากอิ่ม
แกไม่มีสิทธิ์จะอิ่มหรือ…

หรือความพอเพียง…หมายถึงการก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแห่งความไม่มีของตัวเอง
ความพอเพียงเช่นนั้นเพียงพอแล้วหรือ…

………………………………….

ล่องลอย…

ในฝันสีส้มจางนั้น แกล่องลอย ร่วงโรยโบยบินกลับไปยังบ้านรักที่แกเกิด บางที แกควรจะกลับมาที่นี่ เพราะเมืองอาจเป็นที่ต้องห้ามสำหรับแก

ที่ลานโล่งหน้าบ้านนั่น มันคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนที่แกคุ้นตาและครั้งหนึ่งได้คุ้นเคยนั่งอยู่บนพื้น เหม่อคล้อยลอยตาไปหาพ่อที่ยืนเทศนาเรื่องความพอเพียง

ผู้คนแหวกเป็นทาง แกเดินตรงเข้าไปอย่างเชื่องช้า ก้มกราบแทบเท้าพ่ออันเป็นที่รักที่ยังคงเทศนาเรื่องความพอเพียง ดวงตาของพ่อมองไกลแสนไกลทอดไปโดยไม่ปรายลงมาถึงที่ที่แกอยู่ น้ำตาแห่งความคิดถึง น้ำตาแห่งความอัดอั้น น้ำตาแห่งความพอเพียงหลั่งไหล รินรดท่วมไปถึงปลายรองเท้าคู่เก่าของพ่อ ที่เริ่มขาดด้วยกรำงานมาอย่างหนักหน่วง

และโดยที่แกไม่มีโอกาสได้ร่วงรู้ คืนนั้น ร่างพอเพียงของแกไร้วิญญาณไปด้วยใบหน้าที่ยากจะบอกได้ว่า แกกำลังยิ้มอย่างเปี่ยมสุข หรือร้องไห้ด้วยความทุกข์ทน

9 Responses to “แสงไฟในตาฟาง”

  1. วิญญ์ said

    พี่เบิร์ดขยับ blog ได้แล้ว ยินดีด้วยนะครับพี่
    ส่วนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนี่ ผมแนะนำให้พี่คุยกับติ๊ดและม่อนนะพี่ 🙂

  2. ปราชญ์ วิปลาส said

    มันเป็นงานที่เขียนทิ้งไว้นานแล้วอะ…ตอนนี้ก็ยังมึนๆเหมือนเดิม เขียนติดๆขัดๆ

  3. จุ๊กะจิ๊ said

    ยิ่งละเลียดอ่าน ค่อยๆเคี้ยวคำที่ปรุงแต่งมาอย่างช้าๆ รสหวานเช่นข้าวยิ่งกำจรซึมลึก ไม่ได้กลิ่นสาปขยะบูดเน่า หากแต่ได้ยินเสียงทับทวีขึ้นเรื่อยๆ

    บางที่บางที เมื่อเอาคำจำพวกที่เรียกว่าศัพท์วิชาการ มาใช้รวมกับเรื่องสั้น ทำให้นึกไปว่าเมื่อใช้รวมกันแล้ว ขณะที่ศัพท์วิชาการมันรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาอยู่ในคำๆเดียว แต่ศัพท์เรื่องสั้น คำๆเดียวไม่อาจบอกอะไรได้

    ถ้าจำแนกให้คนกลุ่มนี้เป็นชนชั้นล่างแล้ว คำร้องที่ออกมาเป็นสำเนียงของปัญญาชนใช่ไหม เสื้อความเป็นตัวแทนผมคงไม่อาจสวมได้ ที่ทำได้คงแค่พยายามจะสวม

    แต่ที่ผมคิดว่าสำคัญกว่านั้น คำที่แปรแปล่งออกมายิ่งให้คิดตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเห็นและเป็นไป

    ปล่อยให้ละลอยล่องลิ่วไปพร้อมฟองคลื่น?
    ระริ้วปริวโปรยให้สายลมพาพัด?

  4. MS#21--Fai said

    เหมือนกับเคยอ่านที่ไหน–รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเรื่องสั้นของลาวกระมัง(ถ้าจำไม่ผิด) เนี่ย ตัวเอกเป็นชนชั้นรากหญ้า ขี้เหล้าเมายา ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ จนตอนจบ พี่แกก็ตาย แบบหมาข้างถนนตัวนึง เท่านั้นเอง
    หนูว่าบางทีพี่ทำให้แกเป็นปัญญาชน–ด้วยความคิดที่พี่ป้อนไปให้ จนมันไม่เหมือนจริง
    ถ้าแกคิดถึงขนาดนั้น ทำไมยังจะต้องมาเก็บขยะขายล่ะ
    รู้สึกจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล

  5. ปราชญ์ วิปลาส said

    “เหมือนกับเคยอ่านที่ไหน–รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเรื่องสั้นของลาวกระมัง(ถ้าจำไม่ผิด) ”
    นั่นหมายความว่า…ผมไปเอาเรื่องคนอื่นมาเขียนต่อหรือเปล่า??
    หรือหมายความว่า…ผมเคยอ่านเรื่องสั้นดังกล่าวแล้วเอามาเขียนบ้าง??
    ไม่ว่าจะแบบไหน บอกได้เลยว่าผมกับเรื่องที่คุณคลับคล้ายคลับคลานั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดใดกันไม่ว่าจะด้วยเศษเสี้ยวกระผีกผัสสะใด
    “ตัวเอกเป็นชนชั้นรากหญ้า ขี้เหล้าเมายา ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ จนตอนจบ พี่แกก็ตาย แบบหมาข้างถนนตัวนึง เท่านั้นเอง”
    ผมพูดอยู่เสมอว่า งานเขียนนั้น มันจะเป็นของผู้เขียนแต่เฉพาะในตอนที่เขียนอยู่ แต่เมื่อออกสู่สายตาคนอื่นแล้ว มันจะกลายเป็นของคนอ่าน ความเห็นของคุณข่วยยืนยันคำพูดดังกล่าวได้ดีที่สุด เพราะมันไม่ได้สะท้อนถึงความตั้งใจใดใดของผมที่มีอยู่ในตัวชายชราผู้นี้เลย ยิ่งที่ว่าตายอย่างหมาข้างถนน ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นสักเพียงนิด แต่ถ้าคุณรู้สึก ผมก็อยากให้ลองตั้งคำถามต่อไปว่า สิ่งใดเล่าที่กดมนุษย์คนหนึ่งให้กลายเป็นได้เพียงชนชั้นรากหญ้า และสิ่งใดเล่าที่ฆ่าชนชั้นรากหญ้าให้ตายอย่างหมาข้างถนน ทั้งที่หากวิเคราะห์ถึงระดับปรมาณูแล้ว ชนชั้นรากหญ้านั้นก็คือมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน
    คำถามที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเรื่องนี้คือความกังขาที่มีต่อเศรษฐกิจพอเพียง…
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอยอมรับมันเป็นความบกพร่องของตัวเองทุกประการ กับการที่ตัวเองไม่อาจทำให้ผู้อ่านรู้สึก หรือสัมผัสถึงคำถามที่ผมคิดตั้งได้
    “หนูว่าบางทีพี่ทำให้แกเป็นปัญญาชน–ด้วยความคิดที่พี่ป้อนไปให้ จนมันไม่เหมือนจริง

    นี่ก็อีกหนึ่งที่ขอยอมรับในความอ่อนด้อยของตัวเอง (…แย่ละสิ เหมือนจะไม่เหลืออะไรดีแล้ว) มันเป็นปัญหามากเลยทีเดียวกับการจะเขียนถึงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วสามารถแสดงความคิดออกมาได้อย่างที่คนกลุ่มนั้นคิดจริงๆ ทีนี้ผมก็เลยอยากจะให้คุณช่วยแนะนำสักนิด ว่าแท้จริงแล้ว ถ้าเป็นอย่างชายชราในเรื่อง ความคิดของเขาน่าจะเป็นอย่างไร
    “ถ้าแกคิดถึงขนาดนั้น ทำไมยังจะต้องมาเก็บขยะขายล่ะ”
    อาจเพราะเก็บขยะขายมาตลอดก็ได้ แกถึงคิดได้อย่างนั้น
    คนบางคน…จนจบปริญญาแล้วยังคิดอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย
    ขอบคุณที่อ่านจนจบและวิจารณ์นะครับ

  6. MS#21--Fai said

    แล้วเมื่อไหร่จะมีเรื่องใหม่มาล่ะ
    อ่านจบหมดแล้ว
    และรอจนเหี่ยวแล้วครับ
    แล้วก็อยากถามด้วย
    คือหนูอ่านแล้วไม่แจ้ง–จะด้วยความเขลาส่วนตัว อันนี้ก็ยอมรับ
    มันเป็นแสงไฟในตาฟางยังไงคะ ช่วยแถลงให้หนูแจ้งด้วยจะเป็นพระคุณอย่างมาก

  7. ปราชญ์ วิปลาส said

    เรื่องใหม่คงต้องรอหน่อยอะเน้อ…แล้วก็ คงไม่ลงบล็อกอะจ่ะ เพราะจะส่งประกวดด้วย ทางกองประกวดเค้าห้ามตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนทั้งสิ้น ก็ทิ้งอีเมลล์ไว้แล้วกัน เสร็จเมื่อไหร่จะส่งไปให้ช่วยคอมเมนท์

    ส่วนเรื่องของชื่อเรื่องน่ะ ไฟที่ว่าก็คือไฟจากตะเกียงน้ำมันที่ชายชราในเรื่องจุดนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งขนาดที่เธอคิดเน่อ

  8. MS#21--Fai said

    พี่เบิ้ดใจร้ายที่สุดในโลกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
    ไม่ยอมไปรับน้อง
    ไอ้งานอ่ะเอาไปทำด้วยก้อได้
    แหมๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    แบกโน๊ตบุ๊คไปหนูก้อไม่ชาร์จค่าไฟเพิ่มหรอกนะคะ
    ไอ้รับน้องปีหนูเนี่ย
    อุดส่าจะทำให้มันดีสุดใจขาดดิ้น
    พี่ก้อดันไปไม่มีบุญจะไปให้หนูซะงั้น
    ร้ายกาจที่สุด
    โหดร้ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
    และกรุณาอย่าพูดว่า”ชั้นไม่ไปคนเดียวก้อไม่เป็นไรหรอกน่า”
    เพราะมันก็เป็นค่ะ
    ทุกคนสำคัญเสมอนะคระ
    พี่เบิ้ดกรุณาเคลียร์งานแล้วไป ด่วน!!!!!

  9. ขอบคุณสำหรับข่าวสารนะครับ

ใส่ความเห็น